(สละเวลา 1 นาทีอ่านแล้วกำไร) ในชีวิตเรามักจะเจอเรื่องเหล่านี้ อยู่ประจำ
ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง มาร์ก ทเวน นั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาพูดไปตาม ม าร ย าทว่า
“วันนี้คุณสวยจริงๆ ครับ” ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แม้แต่จะกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” เธอพูดออกไปอย่าง ยโสว่า
“เสียใจด้วยนะคะ. ฉันไม่อาจชมว่า คุณหล่อ เหมือนที่คุณชมว่า ฉันสวยได้”
มาร์ก ทเวน พูดออกไปอย่ๅงสุภๅพว่า “ไม่เป็นไรครับ แต่คุณควรฝืนใจ ฝึกพูดโกหกบ้างก็ได้นะครับ”
ผู้หญิงคนนั้น เธอรู้สึกอับอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งนี้บอกเราว่า เมื่อคุณโยนหินออกไปข้างหน้า คนที่จะสดุด มันล้ มไม่เป็นท่าก็ คือ ตัวคุณนั่นเอง
เรื่องที่ 2
“แกดูพี่พิมสิ อายุก็ปาเข้าไปจะ 40 ละ ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งสักที”
พลอย สาวพนักงานธนาคาร วัย 24 ปี เธอกำลังนินทาชาวบ้าน ให้เพื่อนสาวของเธอที่ชื่อว่า..สาลี่ฟัง
สาลี่ก็ฟัง แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ในระหว่างที่กินข้าวกันนั้น..
ถ้านับไม่ผิด พลอยน่า จะนิ น ท าเรื่องชาวบ้านไปไม่ต่ำกว่า 10 คน ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
นี่อาจจะเป็นความสามารถพิเศษของเธอ พอกินข้าวเสร็จขณะที่เดินกลับธนาคาร ก็แวะซื้อลูกชิ้นปิ้ง
พลอยก็พูดขึ้นมาว่า..“สงส ารคนที่ขายลูกชิ้นปิ้งหน้าธนาคารจริง ๆ ต้องขายวันละกี่ไม้วะ กว่าจะได้เงิน 100 นึงเนี่ย”
สาลี่ก็ฟัง แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อเหมือนเดิม พอไปถึงที่ทำงาน พลอยก็นิ น ท าผู้จัดการอีกว่า..” คนอะไรเป็นถึงผู้จัดการ ไม่มีรถหรูขับเลยซักคัน ได้เงินมาก็เอาไปบริจ าควัด
สงสัยจะโด น หลวงพ่อ ล้ า ง ส ม อ ง” สาลี่จึงหมดความอดทน จึงพูดออกมาว่า..
“ผู้จัดการคนนี้ เค้าโตมากับวัด บวชเรียนมาตั้งแต่เล็ก ๆ ที่เค้ามีโอกาสก้าวหน้าทุกวันนี้ ก็เพราะข้าวก้นบาตร”
อีกอย่างเรื่องพี่พิมนะ ที่พี่พิม เขาไม่เลื่อนตำแหน่ง.. เพราะเขาขอเจ้านายเองพี่แกไม่อย ากรับผิ ด ชอบอะไรเยอะ และอีกอย่างพ่อแม่นางก็มีกินมีใช้อยู่แล้วไม่ได้เ ดื อ ด ร้ อน อะไร อย ากทำงานไปแบบชิว ๆ
“ฉันว่านะ คนที่มีความทุ กข์อ่ะ.. คือ แก..” แล้วคนอื่นที่แกพูดถึง เขาไม่ได้มานั่งคิดเรื่องคนอื่นแบบ แก..เลยมีแต่แกอ่ะ ที่ไปคิดเรื่องคนอื่น ทุกคนเขาอาจจะมีความสุขมากกว่า แกก็ได้นะ
สิ่งนี้เตือนใจว่า อย่ าคิดแทนคนอื่น เพราะคนที่จะทุ กข์ คือ ตัวเราเอง
เรื่องที่ 3
วินัยขับรถชมวิวสวย ไปตามเนินเขา วนไปวนมา ในขณะที่เขากำลังชมทัศนียภาพที่อยู่รอบตัว
รถกระบะคันหนึ่งวิ่งผ่านมา คนขับรถลดกระจกลง และตะโกนใส่เขาว่า “ค ว า ย”
วินัยโ มโ ห มาก จึงชะโ ง ก หัวออกไป และตะโกนตอบว่า “ค ว า ย พ่ อ ง..!”
พูดเสร็จ รถของเขาก็ช น ค ว า ย กลุ่มหนึ่ง ที่ขวางอยู่กลางถนน
สิ่งนี้สอนเราว่า อย่าได้เข้าใจเจตนาดีของผู้อื่น ผิด เพราะ มันจะทำให้เราเองเสี ย หาย และทำให้ผู้อื่นเสี ยหน้า
เรื่องที่ 4
บนรถเมล์สายหนึ่ง มีคุณป้าหิ้วตะกร้าผักเพื่อไปตลาดขึ้นรถมา เจ้าหนุ่มเห็น ป้าจึงรีบลุกให้นั่งคุณป้ายิ้มแล้วถามว่า “ไอ้หนุ่มปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มตอบ “28 ครับผม”
คุณป้าว่า “28 แล้วยังต้องมายืนเบียดเสี ย ด บนรถเมล์อีกหรือ ลูกสาวป้าอายุแค่ 22 ก็ซื้อรถเองแล้ว” คุณป้าท่านนี้ แทนที่จะสำนึกบุญคุณที่เขาลุกให้นั่งแล้ว กล่าวคำขอบคุณ แต่เปล่าเลย..
กลับตั้งใจเ สี ย ด สี ว่า อายุ 28 แล้วยัง ไ ร้ความสามารถซื้อรถขับ ลูกสาวฉัน! เก่งมาก อายุแค่ 22 ก็ซื้อรถขับได้แล้วโดยปกติคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจ แต่กลับดูถูกแบบนี้ คงจะมีอารมณ์โ ก ร ธ แต่เขากลับ
ยิ้ม และ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า…
“ผมก็หาเงินซื้อมาได้คันหนึ่ง และก็ให้แม่ใช้ เพราะผมไม่อย ากเห็นแม่ผมลำบ ากขึ้นรถเมล์มาเบียดเสี ย ด กับคนบนรถเมล์ เพื่อไปตลาดหรอกครับ ท่านอายุมากแล้ว”
คนที่ เ สี ย หน้ากลับกลายเป็นคุณป้าเอง จากการตอบกลับอันสุดยอด ไหวพริบชั้นเซียนสิ่งนี้เตือนใจว่า การมีลูกเก่ง นั้นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอยู่หรอก
เพราะ เป็นการแสดงถึงการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูมาด้วยดี แต่อย่ าได้เที่ยวเอาไปเปรียบเทียบ เพื่อดูแคลนผู้อื่น
การมีลูกหลานกตัญญู และเป็นคนดีนั้นมันน่าอิจฉากว่ากันเยอะ..